พีชคณิตบูลีน (Boolean
) เป็นเครื่องมือ ที่ช่วยในการวิเคราะห์และออกแบบระบบดิจิตอล
พีชคณิตบูลีนทำให้เราสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง
เอาต์พุตและอินพุตของลอจิกเกตในรูปของสมการพีชคณิตหรือ นิพจน์บูลีน (Boolean
expression)
1. การอธิบายวงจรลอจิกในรูปพีชคณิต
วงจรลอจิกใดๆ
ไม่ว่าจะมีความซับซ้อนมากเพียงใด เราก็สามารถจะอธิบายด้วยการดำเนินการบูลีนได้
เนื่องจากมีการดำเนินการ OR, AND
และ NOT เป็นการดำเนินการพื้นฐานของระบบดิจิตอล ตัวอย่างในรูปที่
1.1 แสดงการเขียนนิพจน์ที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
เอาต์พุต x กับ อินพุต A, B และ
C ของวงจรลอจิก
จะเห็นได้ว่าแอนด์เกตทำการแอนด์ อินพุต Aและ
B จากนั้นจึงถูกออร์กับ อินพุต C
โดย ออร์เกต ได้ผลลัพธ์เป็นเอาต์พุต x ในที่สุด
เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ในกรณีที่มีการออร์และแอนด์ในวงจรลอจิก
จะกำหนดให้การดำเนินการแอนด์เกิดขึ้นก่อนการออร์
ยกเว้นหากมีการใส่วงเล็บกำหนดการดำเนินการไว้อย่างชัดเจน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ
อับดับของการดำเนินการทางพีชคณิตทั่วๆไป ที่จะทำการคูณตัวเลขก่อนทำการบวก รูปที่ 1.2 และ
1.3 แสดงตัวอย่างวงจรลอจิกและการเขียนนิพจน์ของวงจรลอจิกที่มีการดำเนินการออร์ก่อน
แอนด์ และวงจรที่มีการใช้นอตเกตหรือ อินเวอร์เตอร์ ตามลำดับ รูปที่ 1.4 แสดงตัวอย่างวงจรลอจิกที่มีความซับซ้อน
การใช้วงเล็บหลายแบบมาแยกการดำเนินการจะช่วยให้นิพจน์ดูง่ายไม่สับสน
2. การหาค่าเอาต์พุตของวงจรลอจิก
เมื่อนิพจน์บูลีนของเอาต์พุตของวงจรลอจิกสามารถเขียนออกมาได้
การหาค่าเอาต์พุต สำหรับชุดอินพุตหนึ่งๆสามารถหาได้โดยการแทนค่าระดับลอจิก “0”,
“1”
ของอินพุตนั้นๆ ลงไปในตัวแปรภายในนิพจน์
ยกตัวอย่างการหาลอจิกเอาต์พุตของวงจรในรูปที่ 1.4 สำหรับกรณีที่อินพุตเป็น A = 0, B
= 1, C = 1, D = 0 และ E = 1 จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
กฎพื้นฐานในการแทนค่าในนิพจน์บูลีนมีดังนี้
1. แทนค่านิเสธในเทอมเดี่ยวให้หมดเสียก่อน
2. แทนค่าภายในวงเล็บ
3. ดำเนินการแอนด์ก่อนการออร์ยกเว้นมีวงเล็บกำกับไว้
4.
ถ้านิพจน์มีนิเสธคร่อมอยู่ให้ดำเนินการภายในนิพจน์ดังกล่าว แล้วจึงกลับผลลอจิก
นอกจากนี้แล้ว
เรายังสามารถหาค่าลอจิกเอาต์พุตของวงจรลอจิกได้โดยการแทนค่าลอจิกลงในวงจร
ดังตัวอย่างในรูปที่ 2.1
3. การสร้างวงจรลอจิกจากนิพจน์บูลีน
หากการดำเนินการของวงจรลอจิกเขียนอยู่ในรูปนิพจน์บูลีน
เราสามารถนำมาสร้างวงจรลอจิกได้โดยตรง พิจารณานิพจน์ เราจะเห็นว่านิพจน์นี้ประกอบไปด้วยสามเทอม ที่ออร์กัน ดังนั้น
เราต้องใช้ออร์เกตที่มีสามอินพุตมาใช้ในวงจร และอินพุตของออร์เกต
ก็เป็นเทอมการแอนด์ ซึ่งนิยมเรียกว่า เทอมของผลคูณ (Product term) เราจะสามารถวาดรูปวงจรลอจิกสุดท้ายได้ดังรูปที่
3.1
ในหัวข้อต่อๆไปเราจะได้ศึกษาถึงวิธีการออกแบบวงจรลอจิกที่ใช้จำนวนลอจิกเกตน้อยกว่าวิธีทางตรง
แต่สามารถให้ผลของลอจิกเอาต์พุตที่เหมือนกัน
4. ทฤษฎีบทของบูลีน
ที่ผ่านมาเราจะเห็นถึงประโยชน์ของการใช้พีชคณิตบูลีน
ในการวิเคราะห์วงจรลอจิก
และแทนการดำเนินการของวงจรลอจิกในรูปแบบนิพจน์คณิตศาสตร์ได้ ในหัวข้อนี้
เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีบทของบูลีนหรือ กฎของบูลีน ซึ่งจะสามารถช่วยให้เราลดรูปวงจรลอจิกให้มีขนาดเล็กลง
ในที่นี้กำหนดให้ตัวแปร x เป็นตัวแปรบูลีนที่สามารถเป็นได้ทั้ง
“0” และ “1” ในแต่ล่ะข้อจะมีรูปวงจรแสดงถึงการมีอยู่ของกฎนั้น
1. ตัวแปร xใดๆ
ถ้าแอนด์กับ “0” ผลลัพธ์ของลอจิก ต้องเป็น “0”
2. ตัวแปร xใดๆ
ถ้าแอนด์กับ “1” ผลลัพธ์ของลอจิก เท่ากับลอจิกของ x
3. ตัวแปร xใดๆ
ถ้าแอนด์กับตัวมันเอง ผลลัพธ์ของลอจิก เท่ากับลอจิกของ x
พิสูจน์จาก หาก x = 0 ดังนั้น0 . 0 = 0 ; หาก 1 . 1 = 1 ดังนั้น
4. ตัวแปร x ใด
หากแอนด์กับคอมพลีเมนต์ของตัวมันเอง ( ) ผลลัพธ์ของลอจิกเป็น
“0”
5. ตัวแปร x ใดๆ
หากออร์กับ “0” ผลลัพธ์ของลอจิกไม่เปลี่ยนแปลง
6. ตัวแปร x ใดๆ
หากออร์กับ “1” ผลลัพธ์ลอจิกต้องเป็น “1”
7. ตัวแปร x ใดๆ
หากออร์กับตัวมันเอง ผลลัพธ์ลอจิกเท่ากับลอจิกของ x
8. ตัวแปร x ใดๆ
หาก ออร์กับคอมพลีเมนต์ของตัวเอง ผลลัพธ์ลอจิกเท่ากับ “1”
ต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างการลดรูปโดยใช้ทฤษฎีบทของบูลีน
เพื่อให้วงจรลอจิกใช้จำนวนเกตลดลง
5. ทฤษฎีบทของ ดีมอร์แกน
ทฤษฎีบทที่สำคัญที่สุดสองข้อ
ของทฤษฎีบทของบูลีน มาจากการคิดค้นของ นักคณิตศาสตร์เอกนามว่า ดีมอร์แกน (DeMorgan)
พิจารณา (17)
6. การสร้างลอจิกเกตต่างๆจาก
แนนด์เกตและนอร์เกต
ทุกนิพจน์ของบูลีนจะประกอบไปด้วยการผสมกันของการดำเนินการลอจิกแบบพื้นฐาน
ออร์ แอนด์ และ นิเสธ ดังนั้นเราสามารถสร้างวงจรลอจิกโดยนำ ออร์เกต แอนด์เกต
และอินเวอร์เตอร์เกต มาประกอบกันเป็นวงจรดิจิตอล
แต่เราสามารถนำแนนด์เกตเพียงมาสร้างเป็นเกตต่างๆได้ ดังตัวอย่างในรูปที่ 6.1